20 เมษายน 2025

บ้านกาแฟ

ฐานการเรียนรู้ บ้านกาแฟ

การจัดการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพีย

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกาแฟ

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของโลกชนิดหนึ่ง เกษตรกรชาวไทยปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจ ทั้งภาคเหนือและ

ภาคใต้ โดยภาคเหนือปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้า (Arabica) และภาคใต้ปลูกกาแฟพันธุ์โร บัสต้า (Robusta) กาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ต่างๆ ได้แพร่กระจายไปตามแหล่งเพาะปลูกต่างๆ บนที่สูง เกษตรกรปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจทั้งภาคเหนือและภาคใต้ ประเทศไทยสามารถปลูกกาแฟ ได้เป็นอันดับที่ 3 ในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ แหล่งปลูกที่เหมาะสมสําหรับกาแฟอาราบิก้า คือ พื้นที่ปลูก ตั้งแต่ละติจูดที่ 17 องศาเหนือขึ้นไป มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป มีความลาดเอียง ไม่เกิน 30 เปอร์เซ็นต์ ลักษณะดินที่เหมาะสม คือดินมีความอุดมสมบูรณ์ชั้นดินลึกไม่น้อย กว่า 50 เซนติเมตร มีความเป็นกรดด่าง 5.5-6.5 และระบายน้ำได้ดีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม คือมี อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 15 – 25 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์มากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ แหล่งน้ำ ที่เหมาะสม คือต้องอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ปริมาณฝนไม่ต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี มีการกระจาย ของฝน 5-8 เดือน มีแหล่งน้ำสะอาดและมีปริมาณพอที่จะให้น้ำได้ตลอดช่วงฤดูแล้ง ลักษณะพันธุ์ที่ดี ควรมีลักษณะพันธุ์ต้านทานต่อโรคราสนิม มีลักษณะต้นเตี้ย ข้อสั้น ผลผลิตสูงสม่ำเสมอ และกาแฟถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่คนไทยรู้จักและบริโภคมานานไม่น้อยกว่า 150 ปี ถึงแม้กาแฟจะไม่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย  แต่ก็พบว่ามีการปลูกในหลายพื้นที่  โดยสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากและส่งออกจำหน่ายในตลาดโลก  ได้แก่  สายพันธุ์อาราบิก้าและสายพันธุ์โรบัสต้า  และกาแฟอาราบิก้า fเป็นสายพันธุ์ที่เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งแต่ 800 เมตรขึ้นไปและมีอากาศหนาวเย็น ดังนั้นจึงปลูกมากทางภาคเหนือของประเทศ จุดเด่นของกาแฟอาราบิก้าคือ  จะให้รสชาติกลมกล่อม อ่อนละมุนและมีกลิ่นหอมของกาแฟค่อนข้างมาก รสขมและเปรี้ยวน้อยและมีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตะวนี้ทำให้กาแฟอาราบิก้าได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่นิยมนำไปคั่ว-บด และบริโภคเป็นเครื่องดื่มที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “กาแฟชงสด”  ส่วนกาแฟโรบัสต้า  จะปลูกมากทางภาคใต้ของประเทศ จุดเด่นของโรบัสต้าคือ  จะให้กลิ่นเฉพาะของกาแฟค่อนข้างชัดเจน  แต่รสชาติจะขมอมเปรี้ยว  มีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 2-4 เปอร์เซ็นต์  ส่วนใหญ่จะนิยมนำมาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป  และได้มีการส่งเสริมการปลูกกาแฟเป็นไม้ชั้นรองเพื่อฟื้นฟูป่าไม้ให้เต็มพื้นที่และช่วยลดสภาวะโลกร้อน และสร้างรายได้ลดรายจ่ายให้กับเกษตรกรตลอดจนถึงการสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ป่าไม้และส่งเสริมการใช้ชีวิตเศรษฐกิจแบบพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชนโดยเฉพาะประชาชนบนพื้นที่สูง  ทำให้ลดการตัดไม้ทำลายป่าเป็นการทำเกษตรผสมผสานในพื้นที่เดียวกัน ช่วยสร้างความหลากหลายของชีวภาพของพืชและสัตว์  ซึ่งพืชและแมลงแต่ละชนิดสามารถเอื้อประโยชน์หรือมีผลเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  เป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและทำให้สภาพนิเวศน์มีความชุ่มชื้นเนื่องจากการปลูกกาแฟทำให้มีต้นไม้ปกคลุมดินซึ่งสามารถควบคุมวัชพืชไปในตัว  พื้นที่ปลูกกาแฟจึงเป็นเสมือนป่าไม้  รวมทั้งการทำให้ดินที่อยู่ใต้ร่มเงาต้นกาแฟมีสภาพที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชนำมาซึ่งผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมทั้งในชุมชนและนอกชุมชนได้ และในปัจจุบันรสนิยมการดื่มกาแฟกำลังเป็นที่นิยมของคนในทุกๆช่วงวัยทำให้การปลูกกาแฟกายเป็นอาชีพหลักโดยเฉพาะประชาชนบนพื้นที่สูง ช่วยสร้างรายได้ให้กับครอบครัวยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น  

ประวัติของกาแฟอาราบิก้า

       ภูมิภาคหลักที่ปลูกกาแฟคือ  แอฟริกาตะวันออก  คาบสมุทรอาราเบีย  ลาตินอเมริกา  แปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ต้นกาแฟบางต้นสามารถเจริญเติบโตสูงประมาณ 30-40 ฟุตหรือ 3-5 เมตร  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของกาแฟ  อย่างไรก็ดีส่วนมากจะรักษาต้นกาแฟไม่สูงมากนักเพื่อง่ายในการเก็บผลสำหรับประวัติที่ค้นพบกล่าวว่ากาแฟเป็นพืชพื้นเมืองของอาบีซีเนียและอาราเยค้นพบในศตวรรษที่ 5 ที่ประเทศอาราเบีย  ชื่อคาลดี  ได้นำแพะออกไปเลี้ยง  และได้กินผลและใบกาแฟเข้าไป  ส่งผลให้เกิดความคึกคะนองผิดปกติจึงนำเรื่องไปเล่าให้พระมุสลิมฟัง  ต่อมาพระรูปนั้นได้เก็บผลกาแฟมากะเทาะเปลือกเอาเมล็ดกาแฟไปคั่วแล้วต้มในน้ำร้อนดื่ม  เห็นว่ามีความกระปรี้กระเปร่า

ดีจึงเล่าให้ผู้อื่นฟังจากนั้นชาวอาราเบียจึงได้เริ่มรู้จักต้นกาแฟมากขึ้นและแพร่หลายเข้าสู่ชนชาวอิตาลีดัทช์  เยอรมัน  ฝรั่งเศส  อีกทั้งมีการพัฒนาการผลิตเรื่อยๆ ในระยะต่อมา

ประวัติการปลูกกาแฟ

       กาแฟเริ่มปลูกเมื่อใด  ที่ไหน  ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดหลักฐานที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางบอกว่า  เป็นพื้นที่ในประเทศอาหรับบางประเทศแถบทะเลแดง  ที่ปลูกกาแฟมาตั้งแต่ ค.ศ.657 แต่ขณะนั้นไม่เป็นที่แพร่หลาย  จนกระทั้ง 100 ปีต่อมา  กาแฟจึงเริ่มเป็นที่นิยม  มีการปลูกที่ประเทศเยเมนและในบางประเทศของดินแดนในคาบสมุทรอาหรับ  ชาวยุโรปได้สัมผัสกับกาแฟเป็นครั้งแรก เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยชาวฮอลัดดาได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟไปให้บรรดาเมือง

ขึ้นของตนเองปลูกและในประมาณปีคริสต์ศักราช 1714 ชาวฝรั่งเศสได้นำต้นกาแฟต้นหนึ่งเข้าไปปลูกบนเกาะมาร์ตินี ในหมู่เกาะเวสอินดิสกาแฟต้นเดียวกันนั้นได้กลายเป็นต้นกำเนิดแห่งการปลูกกาแฟอันยิ่งใหญ่และเป็นล่ำเป็นสันของละตินอเมริกานับตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน 

สายพันธุ์ของกาแฟ

       ในปัจจุบันความต้องการและการซื้อขายกันในตลาดโลกขณะนี้  มีอยู่เพียง 4 พันธุ์หลัก คือ

       1.พันธุ์กาแฟอาราบิก้า  (Arabica)  เป็นกาแฟพันธุ์ที่ดีที่สุด  การปลูกและการดูแลรักษายากต้องปลูกบนพื้นที่สูงเท่านั้น  แม้ว่าผลผลิตต่อต้นจะมีปริมาณเพียงครึ่งเดียวของพันธุ์โรบัสต้า  แต่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก  และการซื้อขายกาแฟพันธุ์อาราบิก้า  ที่ปรากฏในตลาดกาแฟโลกมึถึง 75% 

       2.สายพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)  โรบัสต้าเป็นกาแฟได้รับความนิยมรองจากอราบิก้า แต่เหมาะกับคอกาแฟที่ชอบความเข้มข้นเป็นอย่างมาก มีความเข้มและขมกว่าอราบิก้า ไม่ค่อยติดรสชาติเปรี้ยว บอดี้หนักแน่น มีระดับน้ำตาลและระดับกรดที่ต่ำ รสชาติจึงจะค่อนข้างฝาด และมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 2 – 4.5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใครที่ไม่ชินเมื่อดื่มไปอาจมีการเวียนหัวได้เล็กน้อย เมล็ดกาแฟโรบัสต้าจึงนิยมนำไปทำเป็นกาแฟสำเร็จรูปหรือกาแฟแบบ 3 in 1 จำหน่ายตามร้านค้ามากกว่า  ลักษณะของเมล็ดโรบัสต้านั้นจะกลมมนและมีเส้นผ่าตรงกลางเป็นแนวตรง สำหรับการเพาะปลูกนั้น เรียกได้ว่าโรบัสต้าตรงข้ามกับอราบิก้า เพราะเป็นสายพันธุ์ที่ต้องการความชื้นสูงและพื้นที่ต่ำถึงจะเติบโตได้ดี โดยในประเทศไทยนั้นจะนิยมปลูกในจังหวัดทาางภาคใต้ อาทิ จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เป็นต้น นอกจากนี้ กาแฟโรบัสต้าในประเทศไทยสามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 70,000 ตันต่อปีเลยทีเดียว

3.สายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่า (Excelsa) มาถึงสายพันธุ์ที่หลายคนอาจไม่คุ้นหู เมล็ดกาแฟสายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่านั้นมี

ถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา โดยลักษณะของเมล็ดนั้นจะคล้ายกับกาแฟโรบัสต้า กาแฟเอ็กซ์เซลซ่านี้ได้รับความนิยมในแอฟริกา แต่สำหรับในประเทศอื่นๆ ยังคงได้รับความนิยมไม่มากเท่าที่ควร เนื่องจากมีความเข้มข้นในเรื่องของรสชาติที่มากจนถึงขมพร่าเลยทีเดียว แต่ว่ากันว่าชาวแอฟริกันสามารถดื่มกาแฟชนิดนี้ได้ตลอดทั้งวัน ความพิเศษของต้นกาแฟเอ็กซ์เซลซ่านั้นคือ การดูแลรักษาที่ง่าย ปลูกง่าย สามารถทนต่อความแห้งแล้ง ทนโรคที่เกิดจากต้นกาแฟได้ดีและสามารถทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ แถมยังให้ผลผลิตที่สูงอีกด้วย

4.สายพันธุ์ลิเบอริก้า (Liberica)  กาแฟลิเบอริก้าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในตลาดโลกมาก

นักโดยคิดเป็นเพียง1-2 เปอร์เซ็นต์ของกาแฟทั้งโลกเท่านั้นเมล็ดกาแฟลิเบอริก้ามีถิ่นกำเนิดในไลบีเรียแลไอวอรีโคสต์

โดยปัจจุบันมีมาเลเซียที่มีการปลูกกาแฟสายพันธุ์สายลิเบอริก้ามากถึง 90-95 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ปลูกทั่วประเทศ กาแฟลิเบอริก้านั้นมีชื่อเรียกว่า “กาแฟใบใหญ่” เนื่องจากลักษณะของใบที่มีขนาดใหญ่กว่าสายพันธุ์อื่นๆ เติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นและน้ำชุ่มๆลิเบอริก้ามีรสชาติใกล้เคียงกับอราบิก้าแต่มีรสเปรี้ยวอมหวานของผลเบอร์รี่มากกว่า จึงนิยมนำไป Blend กับกาแฟชนิดอื่นๆ เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของรสชาตินั่นเองพอทราบถึงสายพันธุ์ต่างๆ ของเมล็ดกาแฟแล้ว หลายท่านคงมีคำตอบในใจแล้วว่าเมล็ดกาแฟแบบไหนดี แบบไหนเหมาะกับตัวเองที่สุด ซึ่งนอกจากสายพันธุ์แล้ว “ระดับการคั่ว (Roast)” ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อรสและกลิ่นสัมผัส รวมไปถึงแหล่งกำเนิดของเมล็ดกาแฟ เนื่องจาก “ปัจจัยแตร์รัว (Terrior)” หรือสภาพแวดล้อมการปลูกของแต่ละแห่งจะมีผลต่อรสชาติโดยรวมของเมล็ดกาแฟ ซึ่งหมายถึงสภาพภูมิอากาศ, ดิน, ความลาดชัน, และทุกสิ่งในสภาพแวดล้อมการปลูก ล้วนจะส่งผลต่อลักษณะรสชาติของเมล็ดกาแฟทั้งสิ้น

การเพาะกล้าและเตรียมต้นกล้า

กาแฟพันธุ์อาราบิก้า วิธีการขยายพันธุ์นิยมนำ เมล็ดมาขยายพันธุ์เนื่องจาก ว่ากาแฟราบิก้านำมาผสมกัน ภายใน

ต้น เดียวกันเวลานำเมล็ดจากต้นนั้นไปปลูกต่อคุณสมบัติจะไม่แตกต่างจากต้นแม่มากนักซึ่งต่างกับกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าที่ต้องผสมข้ามระหว่างต้นจึงทำให้เมล็ดที่ออกมาเวลานำ ไปปลูกต่อจะมีการกลายพันธุ์ ค่อนข้างมากซึ่งกาแฟโรบัสต้าจะนิยมขยายพันธุ์ด้วยวิธีแบบไม่อาศัยเพศเป็นส่วนใหญ่เช่น เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ, เสียบยอด เป็นต้น โดยวิธีการเพาะเมล็ดนั้นจะเริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดจากต้นที่แข็งแรง สมบูรณ์ลักษณะดีไม่มีโรคและแมลง และให้ผลผลิตมากเมล็ดสวยสม่ำเสมอจากนั้นเลือกเก็บเฉพาะเมล็ดที่สุกเป็นสีแดงแล้วเท่านั้นแล้วล้างเอาเปลือกออกให้หมด ให้เหลือแต่เมล็ดที่เป็นกะลาแล้วตากเมล็ดในร่มให้แห้ง ประมาณ 2 -3 วันแล้วจึงนำไปปลูก ในตะกร้าพลาสติกที่มีรูระบายน้ำ แล้วปูด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หรือจะใช้ เป็นอิฐบล็อกวางทำเป็นแนวยาวแทนก็ได้ในการเพาะจำนวนมากๆ แล้วแต่ความสะดวกในการทำงานโดยวิธีการเพาะ มี 2 วิธี คือ

1. การหว่านเมล็ด โดยหว่านเมล็ดให้สม่ำเสมอทั่วทั้งพื้นที่แล้วกลบด้วยทรายหยาบประมาณ 2-3 เซนติเมตร

2. การปลูกแบบเป็นแถวโดยโดยไม้สับลงบนแปลงเป็นร่องเล็กๆ นำเมล็ดกาแฟมาวางเรียงเป็นแถว ระยะห่าง

ระหว่างร่อง 10 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างเมล็ดกาแฟ 1 เซนติเมตร เมล็ดกาแฟ 1 กิโลกรัม เพาะได้ประมาณ 9 ตารางเมตร หลังจากนั้นรดน้ำทุกวันเช้า – เย็น เมล็ดจะเริ่มงอกเป็นลักษณะคล้ายใช้เวลาประมาณ 45 วัน และจะเริ่ม ออกใบเลี้ยง 2 คู่  ใช้ระยะเวลาประมาณ 60 – 75 วัน  แล้วรออีกประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ก็จะเริ่มออกใบจริงงอกขึ้นมา 2 ใบจึงเริ่มย้ายไปปลูกลงถุงดา ขนาด 2 x 7 นิ้วโดยใช้วัสดุปลูกคือแกลบดิบ 3 ส่วน ปุ๋ย 2 ส่วน ดิน 1 ส่วนแล้วรดน้า เช้า – เย็นแล้วฉีดปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 สลักกับฉีดยากันเชื้อรา 7-10 วันครั้งจนกระทั้งต้นกาแฟอายุได้ 6 – 7 เดือนหรือมี 6 -7 ใบจึงย้ายนำปลูกลงแปลงได้

การเตรียมพื้นที่และการปลูก

โดยพื้นที่ปลูกนั้นถ้าเป็นอาราบิก้า ควรเลือกพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 – 2,000 เมตรอุณหภูมิ ประมาณ

 15 -25 องศาเซลเซียสและถ้าเป็นโรบัสต้า ปลูกได้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงความสูงระดับ 1,200 เมตร และต้องมีความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเพียงพอ ส่วนพื้นที่นั้นถ้าเป็นที่ที่มีไม้ใหญ่แล้วไม่จำเป็นต้องโค่นออเพราะว่าต้น กาแฟจำเป็นต้องมีร่มเงา เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตด้วยพื้นที่นั้นไม่ควรมีความลาดเอียงเกิน 30 องศาแต่ถ้าเกินควรมีการทำขั้นบันไดเพื่อปลูกด้วย โดยก่อนปลูกนั้นควรมีการเตรียมความพร้อมของต้นกล้าก่อนโดยการค่อยๆ นำ กาแฟออกมาอยู่ กลางแดดโดยที่ไม่มีสแลนพรางแสงและค่อยๆ ลดการให้น้ำ ลงเพื่อปรับสภาพก่อนปลูกที่แปลงจริงๆ ช่วงเวลาที่ปลูกควรเป็นช่วงต้นหน้าฝน (ประมาณมิถุนายน-กรกฎาคม) เนื่องจากกาแฟมีน้ำตลอด และต้นกาแฟสามารถตั้งตัวได้เร็วลดอัตราการตายลงได้เยอะ สำหรับระยะปลูกนั้นถ้าเป็นอาราบิก้าจะใช้ระยะ 1.5 x 2เมตร 1 ไร่ปลูกได้ประมาณ 533 ต้นสำหรับโรบัสต้า ใช้ระยะประมาณ 2.5 x 4 เมตร 1 ไร่ปลูกได้ประมาณ 160 ต้น ก่อนปลูกต้องวางแนวและขุด หลุมปลูกขนาด 30 x 30 x 30 เซนติเมตรแยกดินชั้นบนและดินชั้นล่างออกจากกันรองก้นหลุมด้วยแกลบสดใส่ในอัตราส่วนกระสอบปุ๋ยและปุ๋ยคอกใส่ในอัตรา 1 ใน 3 ของกระสอบปุ๋ย ต่อ 1 หลุม แล้วจึงนำ ดินชั้นบนที่แยกไว้ใส่ลงไปผสมกับปุ๋ยคอกและแกลบที่ก้นหลุมแล้วจึงนำต้นกาแฟออกจากถุง โดยไม่ให้ดินแตกแล้วนำต้นกล้าที่มีขนาดเหมาะสมความสูงประมาณ 45  – 50 ซม. มีใบ 6 – 8 คู่ สมบูรณ์แข็งแรง ผ่านการฝึกให้ทนทานต่อแสงแดดจัดและการขาดน้ำ ในเบื้องต้นแล้วนำต้นกล้าลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้ กลบดินให้แน่น และใช้ไม้ปักทำมุม 45 องศากับพื้นดิน ใช้เชือกมัดต้นกาแฟติดกับไม้ให้แน่น ป้องกันการโยกคลอน คลุมโคนด้วยเศษหญ้าแห้งให้ห่างจากต้นประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อรักษาความชื้นให้ดิน ถ้าพื้นที่ที่ปลูกนั้นเป็นพื้นที่ที่โล่งกลางแจ้งควรมีการกางร่มให้ต้นกาแฟด้วยโดยอาจจะใช้เป็นทางมะพร้าว สแลน หรือกระสอบไนล่อน ก็ได้แล้วแต่สะดวกและควรที่จะปลูกไม้ให้ต้นกาแฟด้วยโดยไม้บังร่มเงาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้คือ 1. ไม้บังชั่วคราวคือไม้ที่โตเร็ว  เช่น ต้นตีนเป็ด ทองหลาง ฯลฯ ใช้ระยะปลูก 6 x 8 เมตร 2. ไม้บังร่มเงาถาวร คือไม้เศรษฐกิจที่สามารถเก็บผลผลิตเป็นรายได้เสริมต้นกาแฟได้เช่น ต้นมะคาเดเมีย ไม้ผลขนาดใหญ่ต่างๆที่มีอายุยืนที่สามารถมีอายุยืนได้มากกว่า 60 ปีเพราะว่าต้นกาแฟจัดเป็นไม้ผลขนาดกลาง ที่มีอายยุยืนกว่า 60 ปี